FRAMES

EYEWEAR SELECTIONS

HIGH QUALITY BRANDNAME EYEWEARS

brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
สายตาเอียง

ทำความรู้จักสายตาเอียง สาเหตุ อาการ และวิธีรักษาที่ช่วยได้


20/Aug/2025
20/Aug/2025 12:00 PM

สายตาเอียง (Astigmatism) เป็นภาวะที่พบได้กับคนทุกวัย และมักส่งผลให้มองเห็นภาพไม่ชัดทั้งใกล้และไกล บางคนอาจสังเกตว่าตัวเองเริ่มมองภาพซ้อน เห็นเงาลาง ๆ หรือต้องเพ่งสายตาบ่อยจนเกิดอาการปวดตาและปวดศีรษะ โดยไม่รู้ว่าสาเหตุแท้จริงมาจากสายตาที่เอียง ปัญหานี้อาจดูเล็กน้อย แต่หากปล่อยไว้ก็อาจรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ ทำงานหน้าจอ หรือขับรถ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักให้มากขึ้น ตั้งแต่สาเหตุ อาการ ไปจนถึงแนวทางแก้ไขและรักษา เพื่อให้คุณกลับมามองเห็นได้ชัดและสบายตาอีกครั้ง


สายตาที่เอียง (Astigmatism) คืออะไร?

สายตาที่เอียง (Astigmatism) เป็นภาวะที่ดวงตามองเห็นภาพไม่ชัดเจนหรือพร่ามัวทั้งในระยะใกล้และไกล ซึ่งเกิดจากความโค้งของกระจกตาหรือเลนส์ตาไม่สม่ำเสมอ ทำให้แสงที่เข้ามาในดวงตาไม่สามารถรวมเป็นจุดโฟกัสเดียวบนจอประสาทตาได้ ส่งผลให้มองเห็น ภาพเบลอ ภาพซ้อน หรือภาพบิดเบี้ยว


สาเหตุของสายตาที่เอียงเกิดจากอะไร?

ภาวะสายตาที่เอียงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยส่วนใหญ่มักเป็นมาแต่กำเนิด แต่ก็มีสาเหตุจากปัจจัยอื่น ๆ ได้เช่นกัน


สาเหตุโดยกำเนิดและพันธุกรรม

ภาวะสายตาเอียงสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทั่วไป ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นโดยกำเนิด อาจเกิดจากพันธุกรรม สายตาที่เอียงเกิดจากความผิดปกติของรูปร่างหรือความโค้งของกระจกตา (cornea) หรือเลนส์ตา (lens) ที่ไม่เป็นทรงกลม แต่มีลักษณะคล้ายทรงรี หรือความโค้งที่ไม่เท่ากัน ทำให้เมื่อแสงสะท้อนเข้าสู่ดวงตาเกิดการหักเหแสงมากกว่าหนึ่งจุดบนจอประสาทตา ส่งผลให้เห็นภาพไม่ชัดเจนและเกิดเงาซ้อนขึ้นได้ทั้งในระยะไกลและระยะใกล้


สาเหตุจากปัจจัยภายนอก

นอกเหนือจากพันธุกรรม สายตาที่เอียงยังอาจเกิดจากสาเหตุเหล่านี้ได้ เช่น

  • การประสบอุบัติเหตุ ที่กระทบกระเทือนดวงตา
  • ผลกระทบจากการผ่าตัดดวงตา เช่น การผ่าตัดต้อหิน
  • โรคประจำตัวเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคกระจกตาย้วย (Keratoconus), ภาวะตาเหล่หรือตาเข
  • การเกิดแผลเป็นที่กระจกตา จากการอักเสบหรือติดเชื้อ

สายตาเอียงเกิดจากอะไร

ประเภทของสายตาที่เอียงมีอะไรบ้าง?

สามารถจำแนกได้หลายรูปแบบตามเกณฑ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้


จำแนกตามตำแหน่งที่เกิดความผิดปกติ

1.สายตาที่เอียงกระจกตา (Corneal Astigmatism):

เกิดจากความผิดปกติของผิวกระจกตา ทำให้แสงไม่สามารถโฟกัสบนจอประสาทตาได้อย่างเหมาะสม ทำให้มองเห็นภาพเบลอ เป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด


2.สายตาที่เอียงเลนส์ตา (Lenticular Astigmatism):

เกิดจากความผิดปกติของเลนส์ตา ทำให้แสงไม่สามารถโฟกัสบนจอประสาทตาได้อย่างเหมาะสม ทำให้มองเห็นภาพเบลอ


จำแนกตามความสม่ำเสมอของความโค้ง

1.สายตาที่เอียงแบบสม่ำเสมอ (Regular Astigmatism):

เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากการที่กระจกตามีรูปร่างผิดปกติหรือมีความโค้งไม่สม่ำเสมอกัน โดยอาจจะโค้งเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่ ทั้งในแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวเฉียงเพียงแค่ทิศทางเดียว โดยที่เส้นหลักของการหักเหของแสงทำมุม 90 องศากัน


2.สายตาที่เอียงแบบไม่สม่ำเสมอ (Irregular Astigmatism):

เป็นชนิดที่พบได้น้อยกว่า เกิดจากการที่กระจกตามีรูปร่างผิดปกติหรือมีความโค้งไม่สม่ำเสมอกัน โดยอาจจะโค้งเป็นรูปวงรีหรือรูปไข่ ทั้งในแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวเฉียงในหลายทิศทาง ซึ่งแนวที่มีกำลังหักเหสูงสุดและแนวที่มีกำลังหักเหต่ำสุดจะไม่ตั้งฉากกัน สาเหตุมาจากการเกิดอุบัติเหตุที่เกี่ยวกับดวงตา ทำให้กระจกตาได้รับการกระทบกระเทือน เกิดเป็นรอยแผลที่กระจกตาหรือกระจกตาผิดรูปไป ทำให้การมองเห็นผิดเพี้ยนและเบลอ


จำแนกตามความสัมพันธ์กับสายตาสั้น-ยาว

1.สายตาสั้นและเอียง (Myopic Astigmatism): เป็นสายตาที่เกิดร่วมกับภาวะสายตาสั้น เช่น

  • Simple Myopic Astigmatism
  • Compound Myopic Astigmatism

2.สายตายาวและเอียง (Hyperopic Astigmatism): เป็นสายตาที่เกิดร่วมกับภาวะสายตายาว เช่น

  • Simple Hyperopic Astigmatism
  • Compound Hyperopic Astigmatism

3.สายตาที่เอียงแบบผสม (Mixed Astigmatism): เป็นสายตาที่แกนหนึ่งเป็นสายตาสั้นและอีกแกนหนึ่งเป็นสายตายาว


จำแนกตามแกนของความโค้ง

With the Rule คล้ายลูกรักบี้นอน คือภาวะที่กระจกตามีความโค้งมากกว่าในแนวตั้ง (แนวตั้ง 90 องศา) เมื่อเทียบกับแนวนอน (แนว 180 องศา) ทำให้แสงหักเหไม่เท่ากันในแต่ละแนว


Against the Rule คล้ายลูกรักบี้ตั้ง คือภาวะที่กระจกตามีความโค้งมากกว่าในแนวนอน (แนวตั้ง 180 องศา) เมื่อเทียบกับแนวนอน (แนว 90 องศา) ทำให้แสงหักเหไม่เท่ากันในแต่ละแนว


Oblique คือภาวะที่กระจกตามีความโค้งมาก แต่ไม่ได้อยู่ในแนวตั้งฉากกัน จะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ใช่ 90 หรือ 180 องศา โดยทั่วไปแล้ว แกนของสายตาที่เอียงแบบ Oblique จะอยู่ในช่วง 30-70 หรือ 120-160 องศา.


อาการสายตาเอียงที่สังเกตได้

1.มองเห็นภาพเบลอ ไม่ชัดเจน เห็นภาพมีเงาลาง ๆ เกิดเป็นเงาซ้อน
2.ปวดตา ปวดกระบอกตา ล้าตา เมื่อทำกิจกรรมที่ต้องใช้สายตาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
3.ปวดศีรษะ บริเวณหัวคิ้ว อาจลามไปถึงขมับและท้ายทอย มักเกิดจากจากการเพ่งสายตาหรือหรี่ตามองเป็นประจำโดยไม่รู้ตัว
4.ตาไม่สู้แสง เมื่อเจอแสงแดดหรือแสงที่จ้า จะมีอาการแสบตา น้ำตาไหล
5.มีปัญหาในการมองเห็นตอนกลางคืน มากกว่าตอนกลางวัน เช่น เวลาขับรถมักเห็นแสงจากดวงไฟฟุ้งเป็นเส้น แตกคล้ายดาวกระจาย โดยเฉพาะแสงจากดวงไฟที่เห็นในตอนกลางคืน
6.ไม่สามารถแยกตัวอักษร ตัวหนังสือ และตัวเลขได้ โดยตัวเลขที่มักจะพบว่าเป็นปัญหาบ่อย ๆ ได้แก่ 0, 3, 5, 6, 8, 9


วิธีการแก้ไขและรักษาภาวะสายตาไม่เท่ากัน

การใส่แว่นสายตา

สำหรับผู้ที่มีปัญหาสายตาไม่เท่ากันในระดับปกติ สามารถแก้ไขได้ด้วยการใส่แว่นสายตา แต่เนื่องจากสายตาไม่เท่ากันเป็นความผิดปกติของสายตาที่มักเกิดควบคู่กับสายตาสั้นและสายตายาว จึงต้องทำการวัดค่าสายตาโดยละเอียดกับนักทัศนมาตรหรือจักษุแพทย์ก่อน เพื่อความสบายตาและลดโอกาสที่จะเกิดอาการปวดตา ปวดศีรษะ จนลามไปบริเวณอื่น ๆ ตามมา


ผลกระทบช่วงแรกจากการใส่แว่น

การใส่แว่นสำหรับสายตาที่เอียงอาจจะทำให้เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ไม่คุ้นชินในช่วงแรกที่สวมใส่ เนื่องจากเลนส์มีกำลังการหักเหแสงในแต่ละแกนไม่เท่ากัน ทำให้เกิดการขยายภาพที่ไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะในคนที่ไม่เคยใส่ค่าสายตาที่เอียงมาก่อน หรือในคนที่มีค่าสายตาที่เอียงสูง ๆ หรือในคนที่มีค่าสายตาที่เอียงในแนว Oblique ซึ่งเป็นสาเหตุของภาพบิดเบี้ยว หรือพื้นลอย เวลาหันซ้ายขวาเกิดความวูบวาบ ทำให้สวมใส่ไม่สบาย จึงต้องใช้เวลาในการปรับตัวหรือควรที่จะปรับลดค่าสายตาลงมา เพื่อให้ใส่สบายมากขึ้นโดยที่ความคมชัดยังคงเดิม หรือไม่ได้ลดลงมากจนเกินไป

ดังนั้นการเลือกกรอบแว่นที่เหมาะสมและใส่เลนส์ที่มีคุณภาพ ก็สามารถช่วยลดอาการภาพบิดเบี้ยวได้ การเลือกเลนส์ที่มีเทคโนโลยีการขัดที่ละเอียดมากขึ้นจะช่วยลดภาพบิดเบือน ทำให้ภาพใกล้เคียงกับธรรมชาติ และทำให้สวมใส่สบายมากขึ้น


การใส่คอนแทคเลนส์

การใส่คอนแทคเลนส์สายตาที่เอียง เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการแก้ไขปัญหา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อย่างมีอิสระ เช่น การเล่นกีฬา ดังนั้น ผู้ที่ต้องการใส่คอนแทคเลนส์ ควรไปพบนักทัศนมาตรหรือจักษุแพทย์ เพื่อปรึกษาถึงค่าคอนแทคเลนส์ และค่า Base Curve ที่เหมาะสมกับความโค้งกระจกตาของแต่ละบุคคล


ข้อจำกัดของคอนแทคเลนส์

คอนแทคเลนส์อาจไม่สามารถแก้ไขภาวะสายตาที่เอียงได้ทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ที่มีค่าสายตาไม่เท่ากันสูง หรือมีค่าสายตาในแนวองศาที่เฉพาะเจาะจง อาจต้องพิจารณาทางเลือกอื่น และการใส่คอนแทคเลนส์ทุกประเภทมีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อที่ตา หรือเกิดการระคายเคืองได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดูแลรักษาความสะอาดของเลนส์ การทำความสะอาดและบำรุงรักษาคอนแทคเลนส์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ และยืดอายุการใช้งานของเลนส์


การผ่าตัดแก้ไขสายตา

การผ่าตัดทำเลสิกเพื่อรักษาสายตาที่เอียง โดยในปัจจุบัน การผ่าตัดรักษาแบ่งเป็น การผ่าตัดเพื่อปรับความโค้งของกระจกตา ได้แก่

  • การทำเลสิก (LASIK)
  • การทำเฟมโตเลสิก (Femto LASIK)
  • การทำพีอาร์เค (PRK)
  • การทำรีแลกซ์ (Relex)
  • ไอซีแอล (Implantable Collamer Lens : ICL) การนำเลนส์เสริมชนิดถาวรมาใส่ในดวงต โดยการที่แพทย์เปิดแผลกระจกตา และนำเลนส์ที่มีลักษณะบาง พับได้ เข้าไปวางหน้าเลนส์แก้วตาเพื่อแก้ปัญหาค่าสายตาที่ผิดปกติ

ดังนั้นผู้ที่ต้องการเข้ารับการผ่าตัดรักษาสายตาที่เอียง จำเป็นต้องเข้าพบจักษุแพทย์ก่อน เพื่อตรวจตาและปรึกษาหาวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับตนเอง


ข้อจำกัดของผู้ที่ไม่สามารถทำเลสิกได้

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคต้อหิน, ต้อกระจก, โรคจอประสาทตาเสื่อม, โรคกระจกตาผิดปกติ (Keratoconus), โรคเบาหวาน (โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี)
  • ผู้ที่มีภาวะตาแห้งรุนแรง การทำเลสิกอาจทำให้อาการตาแห้งแย่ลงได้
  • สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้ค่าสายตาไม่คงที่
  • ผู้ที่มีค่าสายตาไม่คงที่ ค่าสายตาควรคงที่อย่างน้อย 1 ปี ก่อนการทำเลสิก
  • ผู้ที่มีกระจกตาบางเกินไป กระจกตาต้องมีความหนาเพียงพอสำหรับการปรับแต่งด้วยเลเซอร์
  • ผู้ที่ติดเชื้อ HIV อาจมีผลต่อการมองเห็นหลังการผ่าตัด

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังการผ่าตัด

เช่น อาการตาแห้ง การเกิดแผลเป็นบนกระจกตา การแก้ไขสายตาไม่สมบูรณ์ การมองเห็นพร่ามัว มองภาพไม่คมชัด อาจพบเห็นแสงฟุ้งกระจายในช่วงแรกหลังการผ่าตัด



วิธีการรักษาสายตาเอียง

ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับสายตาที่เอียง

ความเชื่อ: สายตาที่เอียงเกิดจากการอ่านหนังสือในที่มืด

ความจริงคือ สายตาเอียงเกิดจากโครงสร้างของดวงตา (กระจกตาหรือเลนส์ตา) ไม่ได้เกิดจากพฤติกรรมการใช้สายตา


ความเชื่อ: สายตาที่เอียงทำให้เขียนหนังสือเอียง

การเขียนหนังสือเอียงหรือขีดเส้นไม่ตรงเป็นเรื่องของการประสานงานระหว่างตาและมือ (Eye-Hand Coordination) ซึ่งเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ แม้คนสายตาปกติก็อาจทำได้ไม่ดีนัก


ความเชื่อ: สายตาที่เอียงไม่จำเป็นต้องใส่แว่น

หากสายตาไม่เท่ากันเล็กน้อย อาจไม่ส่งผลกระทบต่อการมองเห็นมากนัก แต่หากสายตาไม่เท่ากันมาก อาจทำให้มองเห็นภาพเบลอหรือซ้อน และอาจมีอาการปวดศีรษะหรือตาล้าได้ การใส่แว่นจะช่วยให้มองเห็นได้ชัดเจนและลดอาการไม่สบายตา


ความเชื่อ: สายตาที่เอียงทำให้ตาเหล่

สายตาที่เอียงไม่ได้ทำให้ตาเหล่ แต่บางคนอาจมีการเอียงคอหรือหรี่ตาเพื่อช่วยในการมองเห็น ซึ่งอาจทำให้ดูคล้ายตาเหล่ได้


ความเชื่อ: สายตาที่เอียงทำให้มองเห็นภาพบิดเบี้ยว

อาการหลักคือการมองเห็นไม่ชัดเจน (เบลอ) หรือเห็นภาพซ้อน ไม่ได้ทำให้ภาพบิดเบี้ยว การที่เห็นภาพเป็นสี่เหลี่ยมคางหมู มักเกิดในคนที่ใส่แว่น เป็นอาการที่เรียกว่า "ภาพบิดเบี้ยว" หรือ "ภาพไม่เป็นสี่เหลี่ยม" ซึ่งเกิดจากความไม่เท่ากันของกำลังการหักเหแสงในเลนส์สายตาแต่ละแกน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีค่าสายตาที่เอียงสูง ๆ ไม่เคยใส่แว่นมาก่อน หรือในคนที่มีค่าในแนว Oblique ในบางกรณีเมื่อสวมใส่แว่นแก้ไขสายตาแล้วเมื่อมองที่พื้น จะเห็นว่าพื้นลอยนูนขึ้นมา อาจจะเกิดจากค่าสายตาที่ไม่เหมาะสม หรือเกิดจากกรอบแว่นที่มุมความโค้ง ความเท และระยะห่างของแว่น ที่ไม่รับกับรูปหน้าของผู้สวมใส่ และอาจเกิดจากตำแหน่งการมาร์กจุดตาดำที่อาจจะอยู่สูงเกินไป จนทำให้เกิด Prism Effect ขึ้น คือการที่แสงถูกหักเหผ่านเลนส์ที่มีความหนาไม่เท่ากัน ทำให้แสงเบี่ยงเบนจากทิศทางเดิม ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อเลนส์ไม่ได้ถูกปรับให้ตรงกับจุดศูนย์กลางสายตา (optical center) ของผู้สวมใส่ ทั้งนี้ หากมีการจ่ายค่าสายตาที่ถูกต้องให้กับผู้สวมใส่ รวมถึงเลือกชนิดเลนส์ที่มีเทคโนโลยีช่วยลดภาพบิดเบือน และเลือกกรอบแว่น ทำการปรับดัดให้อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมก่อนทำการมาร์กจุด Center ก็จะช่วยลดอาการดังกล่าวได้


บทความโดย
ยลธิดา ลีลา
นักทัศนมาตร ทม.503/2567

Recent View Blog

Latest blog

See More

ติดต่อสอบถาม

02-259-9158