ทำไมเลนส์โปรเกรสซีฟถึงมีหลายราคา ?
เนื่องจากเลนส์โปรเกรสซีฟมีโครงสร้างที่ประกอบไปด้วยการไล่ค่าสายตาแบบไร้รอยต่อ ประกอบไปด้วยค่าสายตามองไกล กลาง และใกล้ โครงสร้างเลนส์จึงมีความซับซ้อนมากกว่าปกติ เพราะการบีบอัดของเลนส์หลายๆค่าสายตาทำให้บริเวณด้านข้างของเลนส์เกิดภาพบิดเบือน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Distortion Area ซึ่งเป็นบริเวณของเลนส์ที่เมื่อมองผ่านจะเห็นภาพที่มีลักษณะเหมือนภาพล้มและไม่คมชัด ทำให้เกิดความวูบวาบ หรือเวียนศีรษะขณะสวมใส่ได้
ดังนั้นเลนส์โปรเกรสซีฟจึงมีด้วยกันหลากหลายโครงสร้าง มีเทคโนโลยีการผลิต และการขัดละเอียดที่แตกต่างกันออกไป เพื่อให้รองรับกับค่าสายตาหรือลักษณะของกรอบแว่น เพราะหากเลือกชนิดเลนส์ให้ถูกต้องเหมาะสม จะช่วยทำให้ปรับตัวง่ายยิ่งขึ้น และสวมใส่สบายมากขึ้นด้วย


ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาเลนส์โปรเกรสซีฟที่คุณควรรู้
1.เทคโนโลยีและวิธีการผลิตเลนส์
เลนส์จะมีการขัดเลนส์หลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยลดภาพบิดเบือนด้านข้างให้น้อยลง และเพิ่มความเป็นธรรมชาติของภาพให้มากยิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี
1.การขัดแบบพื้นฐาน (Conventional progressive lens)
เป็นการขัดแบบดั้งเดิมโดยหล่อโครงสร้างโปรเกรสซีฟไว้ด้านหน้าเลนส์และขัดค่าสายตาที่ต้องการด้านหลัง มีข้อเสียคืออาจทำให้เกิดภาพบิดเบือนด้านข้างและรู้สึกว่าภาพไหวได้ง่ายกว่า

2.การขัดแบบ (Freeform Design)
เป็นการขัดโดยการใช้เครื่อง CNC หรือ Computer Numeral Control เพื่อปรับผิวเลนส์แบบดิจิทัล ด้านการทำงานจะประกอบไปด้วยส่วนของเครื่องจักร และส่วนของซอฟแวร์ที่คุมเครื่องจักร เป็นเทคโนโลยีการขัดด้วยเครื่องจักรที่มีความละเอียดสูงจุดต่อจุด ทำให้ได้มุมมองที่กว้างขึ้น ภาพบิดเบือนน้อยลง และผู้ใช้ปรับตัวได้ง่ายขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาซับซ้อน


2.พื้นที่การมองเห็นและระดับของเลนส์โปรเกรสซีฟ
2.1 เลนส์โปรเกรสซีฟรุ่นเริ่มต้น
ราคาค่อนข้างถูก เนื่องจากโครงสร้างเลนส์รองรับคนที่มีค่าสายตาไม่สูงมาก มีภาพบิดเบือนมากกว่ารุ่นที่สูงกว่าหากเปรียบเทียบในกรณีที่ค่าสายตาเดียวกัน รวมถึงบริเวณอ่านหนังสือและระยะกลางค่อนข้างน้อย

2.2 เลนส์โปรเกรสซีฟรุ่นกลาง-สูง (ราคาประมาณ 10,000-30,000 บาท)
จะเริ่มมีการขัดแบบละเอียดมากยิ่งขึ้น สามารถรองรับค่าสายตาสูงขึ้น และค่าสายตาแบบซับซ้อนได้ มีการเพิ่มเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาเพื่อลดภาพบิดเบือนในโซนกลางและใกล้ มุมมองภาพดียิ่งขึ้น มีการจัดการภาพล้มให้ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อลดความวูบไหวขณะหันศีรษะ มีการคำนวณ Inset (ระยะการเหลือบเข้าของดวงตา) ทำให้การเปลี่ยนโฟกัสมีความสมูทมากขึ้น และมองเห็นโซนอ่านหนังสือได้ง่ายขึ้น ในรุ่นที่สูงขึ้นจะมีเทคโนโลยีการขัดที่ทำให้ขนาดภาพของทั้งสองตาใกล้เคียงกัน ในกรณีที่ค่าสายตาสองข้างต่างกันมาก ๆ เพื่อให้การทำงานของสองตารวมภาพได้ดียิ่งขึ้น ทำให้สวมใส่สบายมากกว่าตัวเริ่มต้น

2.3 เลนส์โปรเกรสซีฟรุ่นพรีเมี่ยม
ราคาสูงที่สุด แต่สวมใส่สบายมากกว่า เนื่องจากมีการนำค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ที่เป็นของแต่ละบุคคลเข้ามาคำนวณเพื่อขัดเลนส์ด้วย เช่น ค่ามุมโค้ง (Wrap) มุมเท (Panto) ของกรอบแว่น, ระยะห่างระหว่างกระจกตา (Vertex Distance) มีการใช้ตาหลัก (Dominate Eye) และเลือกค่า Corridor ได้ Variable มากขึ้น รวมถึงมีการใช้ AI ในการคำนวณออกแบบโครงสร้างของเลนส์ตามลักษณะค่าสายตาและพฤติกรรมการใช้งานสายตา

3.วัสดุของเลนส์ (Material) และกรอบแว่น (Frame) ที่เลือกใช้
วัสดุของเลนส์จะมีผลกับราคาด้วย โดย Index ที่สูงขึ้น (ย่อบาง) จะทำให้ราคาเลนส์สูงตามขึ้นไปด้วย การเลือก Index ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย
3.1 ค่าสายตา
หากค่าสายตาสั้น-ยาว รวมเอียงไม่สูงมาก สามารถเลือก Index ธรรมดา เช่น 1.5 ได้ แต่ในคนที่ค่าสายตาสูงๆ ควรเลือก Index ที่สูงขึ้น เพื่อให้เลนส์บางและเบายิ่งขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามลำดับ

3.2 ลักษณะของกรอบแว่น
- กรอบเต็ม (โลหะ/พลาสติก): ถ้าค่าสายตาไม่สูงมาก สามารถใช้ Index 1.5 ได้ ราคาเลนส์จะถูกกว่า


- กรอบเจาะ/กรอบครึ่ง: หากเลือกกรอบแว่นแบบกรอบเจาะ หรือกรอบครึ่ง ก็ควรใช้ Index 1.6 แม้ว่าจะค่าสายตาไม่เยอะก็ตาม และในคนค่าสายตาน้อยหรือคนที่มีค่าสายตายาวจะต้องใช้เป็นเลนส์สั่งทำเพื่อเพิ่มความหนาให้มากพอที่ขอบด้านข้างของเลนส์ เพื่อให้สามารถประกอบเลนส์เข้ากรอบแว่นได้ หรือในคนที่ค่าสายตาสูงๆ สามารถเลือก 1.6 หรือ 1.67 ได้พิจารณาตามค่าสายตาและความหนาที่เหมาะสมกับกรอบแว่น ทั้งสอง Index จะมีความแข็งแรงมากกว่า 1.5 เนื่องจากตัววัสดุจะมีความเหนี่ยวและแข็ง จึงมีคงทนและไม่เปราะจนเกินไป แต่ทำให้ราคาจะสูงขึ้นด้วยตามลำดับ และไม่แนะนำกรอบชนิดนี้ใน Index 1.5 และ 1.74 เนื่องจากเลนส์จะมีความเปราะมาก ทำให้เลนส์แตกได้ง่าย



- กรอบ Sport หรือกรอบที่มีความโค้งสูง: ต้องเลือกเลนส์เฉพาะที่สั่งทำความโค้งสูงได้ ซึ่งทำให้มุมมองภาพแคบลงกว่ากรอบปกติ และราคาสูงขึ้น

4.ชนิดของเลนส์และการเคลือบผิว (Coating)
ชนิดของเลนส์โปรเกรสซีฟ
- 1.เลนส์ใส (Clear Lens): ราคาต่ำสุด

- 2.เลนส์โปรเกรสซีฟเปลี่ยนสี (Photochromic Lens): ราคาสูงกว่าเลนส์ใส เพราะกระบวนการผลิตซับซ้อนกว่า

- 3.เลนส์โปรเกรสซีฟทำสี (Tinted Lens/Sunglasses): ราคาสูงกว่าเลนส์ใส และราคาจะขึ้นอยู่กับชนิดของการทำสี (ธรรมดา, Polarized, Mirror)

โค้ทติ้ง (Coating)
- โค้ทติ้งพื้นฐาน: ป้องกันรอยขีดข่วน (Anti-Scratched), กันแสงสะท้อน (Anti-Reflection), ป้องกันแสง UV, ป้องกันแสงจ้า (Anti-Glare)
- โค้ทติ้งเพิ่มเติม: Blue Light Protection, Anti-Fog, Mirror / Polarized (ต้องเพิ่มเงิน)


5.แบรนด์และการรับประกัน
- Local Brand: ราคาจะย่อมเยามากกว่า มีเทคโนโลยีให้เลือกไม่มากนัก รับประกันโค้ทติ้งเลนส์ประมาณ 1 ปี
- Brand ที่มีชื่อเสียงและนำเข้าจากต่างประเทศ: ราคาสูงกว่า แต่โครงสร้างเลนส์และเทคโนโลยีหลากหลายกว่า รวมถึงโค้ทติ้งต่างๆ ให้เลือกสรรเพิ่มมากขึ้น การปรับประกันสินค้าจะอยู่ในระยะเวลา 1-2 ปีแล้วแต่ยี่ห้อ
สรุป
ราคาของเลนส์โปรเกรสซีฟแตกต่างกันตามเทคโนโลยีการผลิต โครงสร้างเลนส์ วัสดุ โค้ทติ้ง และกรอบแว่นที่ใช้ รวมถึงค่าสายตาและความต้องการเฉพาะของผู้ใช้งานแต่ละคน หากเลือกเลนส์ที่เหมาะสม จะช่วยให้ปรับตัวง่ายและสวมใส่สบายมากยิ่งขึ้น
บทความโดย
ยลธิดา ลีลา
นักทัศนมาตร (ทม.503/2567)












