กรอบแว่น

EYEWEAR SELECTIONS

HIGH QUALITY BRANDNAME EYEWEARS

brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
brand
ตัดแว่นสายตา

ไขรหัส “ใบวัดค่าสายตา”


11/Dec/2025
11/Dec/2025 10:13 AM

“ใบค่าสายตา” คือเอกสารผลตรวจที่ระบุค่าสายตาที่เรามีอยู่ โดยใบค่าสายตาจะได้มาก็ต่อเมื่อเราเข้าไปตรวจวัดสายตาที่โรงพยาบาลหรือร้านแว่นตา ซึ่งข้อมูลจากใบนี้ถือเป็นพื้นฐานสำคัญก่อนการตัดแว่นสายตา หรือการเลือกคอนแทคเลนส์ให้เหมาะกับสภาพสายตาแต่ละบุคคล อีกทั้งยังสามารถใช้ประกอบการรักษาในกระบวนการทางการแพทย์ต่าง ๆ เช่น การทำเลสิค หรือการผ่าตัดต้อกระจกได้อีกด้วย จะเห็นได้ว่า ใบค่าสายตา ไม่ได้สำคัญเพียงแค่ระบุค่าสายตาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวชี้วัดคุณภาพการมองเห็นของดวงตาได้อย่างละเอียด

ค่าสายตา เป็นสิ่งที่สามารถบ่งบอกได้ว่า บุคคลนั้นมีประสิทธิภาพในการมองเห็นชัดเจนแค่ไหน หรือมีปัญหาค่าสายตาในรูปแบบใด ไม่ว่าจะเป็นสายตาสั้น สายตายาว สายตาเอียง หรือสายตายาวตามอายุ รวมถึงค่าปริซึมที่ใช้แก้ไขปัญหากล้ามเนื้อตา ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลสำคัญที่นักทัศนมาตรหรือนักวัดสายตาจะนำไปใช้เพื่อวางแผนในการตัดแว่นสายตาให้เหมาะสมกับผู้สวมใส่มากที่สุด

ทำความรู้จักกับค่า VA (Visual Acuity)

“VA (Visual Acuity)” คือค่าความสามารถในการมองเห็นหรือค่าความคมชัดของการมองเห็นเมื่อเทียบกับคนที่มีค่าสายตาปกติ การตรวจจะใช้แผ่นวัดสายตามาตรฐาน เช่น Snellen Chart ซึ่งมีตัวอักษรหรือตัวเลขที่ขนาดต่างกันเรียงกันเป็นแถวลงมา ซึ่งในแต่ละแถวจะมีการระบุค่าสายตาที่บอกเป็นเศษส่วน

วิธีการอ่านค่า VA

การอ่านค่า VA จะอ่านได้ทั้ง Uncorrected (ตาเปล่า) และ Corrected (แก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแทคเลนส์)

  • ตัวเศษ (เลขด้านบน) คือระยะห่างของที่ผู้อ่านมองเห็นตัวอักษร
  • ตัวส่วน(เลขด้านล่าง) คือระยะห่างที่คนสายตาปกติสามารถอ่านตัวอักษรบรรทัดนี้ได้

ตัวอย่างค่า VA

  • 20/20 (หรือ 6/6) สายตาปกติ: หมายความว่าความสามารถในการมองเห็นของผู้ทดสอบมองเห็นได้ชัดในระยะ 20 ฟุต (6เมตร) เท่ากับคนที่สายตาปกติที่สามารถมองเห็นได้ในระยะ 20 ฟุต (6เมตร)
  • 20/40: หมายความว่าความสามารถในการมองเห็นของผู้ทดสอบมองเห็นได้ชัดในระยะ 20 ฟุต (6เมตร) เท่ากับคนที่สายตาปกติที่สามารถมองเห็นได้ในระยะ 40 ฟุต (12เมตร)

ในการตรวจวัดสายตา ส่วนมากจะพิจารณาค่า VA จากค่าที่ได้จากการ Corrected(แก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแทคเลนส์) ถ้าตรวจพบว่าค่า VA แย่กว่า 20/20 อาจจะมีปัญหาอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ตาขี้เกียจ ต้อกระจก เป็นต้น

ความสัมพันธ์ระหว่างค่าสายตากับ VA (Visual Acuity)

ค่าสายตาผิดปกติ เช่น ค่าสายตาสั้น ยาว เอียง หรือค่าสายตายาวตามอายุ ส่งผลให้ VA ลดลง

ตัวอย่างเช่น

คนไข้มีค่าสายตาประมาณ -1.00 D อ่าน VA(uncorrected) อ่านได้ 20/40 นั่นแสดงว่า สายตาของคนไข้ต้องเข้าใกล้วัตถุที่ระยะ 20 ฟุต (6เมตร) เพื่อที่จะมองเห็นได้เท่ากับคนที่มีค่าสายตาปกติที่ยืนห่างวัตถุ 40 ฟุต (12เมตร)

ดังนั้นการใส่ค่าสายตาที่ถูกต้อง ช่วยทำให้ VA ดีขึ้น การวัดสายตาและแก้ไขด้วยเลนส์หรือคอนแทคเลนส์ที่ค่าสายตาถูกต้อง จะทำให้ความสามารถในการมองเห็นเห็นได้ดีเท่ากับคนสายตาปกติ (VA 20/20) หรือใกล้เคียง

ประเภทของค่าสายตา

สายตาปกติ (EMMETROPIA)

  • ลักษณะ: เมื่อแสงเข้าสู่ดวงตามีการรวมแสงพอดีที่จอประสาทตา โดยไม่ต้องใช้เลนส์ช่วย
  • ค่าสายตา: ไม่มีค่าสายตา หรือ เท่ากับ 0


ลักษณะค่าสายตาปกติ


สายตาสั้น(Myopia)

มักเกิดจากลูกตายาวเกินไป ทำให้ดวงตามีการหักเหแสงเกิดภาพที่โฟกัสอยู่หน้าจอประสาทตา ไม่ได้โฟกัสที่จอประสาทตาโดยตรง หรือกระจกตาโค้งมากเกินไป

  • ลักษณะ: มองวัตถุระยะไกลไม่ชัดเจน แต่ยังมองเห็นวัตถุระยะใกล้ได้
  • ค่าสายตา: ค่าสายตาสั้นจะแสดงอยู่ในค่า Sphere(SHP) เป็น ค่าลบ (-) ในหน่วย Diopter


ลักษณะค่าสายตาสั้น


สายตายาว(Hyperopia)

มักเกิดจากลูกสั้นเกินไป ทำให้ดวงตามีการหักเหแสงเกิดภาพที่โฟกัสอยู่หลังจอประสาทตา ไม่ได้โฟกัสที่จอประสาทตาโดยตรง หรือกระจกตาแบน

  • ลักษณะ: มองเห็นวัตถุระยะไกลได้ (ถ้าหากค่าสายตาไม่เยอะมาก เนื่องจากตายังมีกำลังในการเพ่งชดเชย) แต่จะมองเห็นวัตถุระยะใกล้ไม่ชัดเจน
  • ค่าสายตา: ค่าสายตายาวจะแสดงอยู่ในค่า Sphere(SHP) เป็น ค่าบวก (+) ในหน่วย Diopter


ลักษณะค่าสายตายาว


สายตาเอียง(Astigmatism)

เกิดจากการที่มีความโค้งกระจกตาหรือเลนส์แก้วตามีความโค้งไม่เท่ากันในแต่ละแนว จึงทำให้เมื่อแสงผ่านเข้าสู่ดวงตาเกิดจุดโฟกัสมากกว่าหนึ่งจุด

  • ลักษณะ: มองเห็นวัตถุทุกระยะไม่ชัดเจนรวมกับการเห็นภาพเป็นเงาซ้อน แสงฟุ้งและแสงไฟเป็นแฉก ๆ ได้
  • ค่าสายตา: ค่าสายตาจะแสดงอยู่ในค่า Cylinder(CLY) เป็นได้ทั้งค่าบวกและลบ (+,-)


ลักษณะค่าสายตาเอียง


สายตายาวตามอายุ(Presbyopia)

เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อมีอายุที่มากขึ้น(40ปีขึ้นไป) เนื่องจากกล้ามเนื้อตาทำงานได้น้อยลง

  • ลักษณะ: มองเห็นวัตถุระยะใกล้ไม่ชัดเจน หรือบางอาจจะต้องยืดแขนออกเพื่อหาระยะที่ชัด บางคนมีอาการเมื่อยล้าตา รู้สึกปวดรอบดวงตาโดยเฉพาะเวลาอ่านหนังสือนาน ๆ
  • ค่าสายตา: ค่าสายตาจะแสดงอยู่ในค่า ADDITION(ADD) เป็นค่าบวก (+)

ขั้นตอนการตรวจวัดสายตา

ขั้นตอนการตรวจวัดค่าสายตาอย่างละเอียด ดังนี้

  • ขั้นตอนที่ 1 การซักถามประวัติเกี่ยวกับสายตา ปัญหาที่พบ ประวัติการใช้แว่นตา คอนแทคเลนส์ ประวัติสุขภาพทั่วไป และลักษณะการใช้งานสายตา
  • ขั้นตอนที่ 2 ตรวจการมองเห็นเบื้องต้น เป็นการตรวจวัดการมองเห็นด้วยตาเปล่า หรือหากมีแว่นให้ส่วมใส่แว่นเดิมได้ ทดสอบโดย ปิดตาซ้าย /ขวา เพื่อดูความสามารถในการมองเห็นของผู้ทดสอบ (ห้องตรวจวัดสายตาควรอยู่ในระยะ 6 เมตร)
  • ขั้นตอนที่ 3 การตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อตาเบื้องต้น เพื่อทดสอบการทำงานของกล้ามเนื้อตาทั้งสองข้างว่ามีปัญหาหรือไม่ พบอาการตาเขหรือตาเหล่ไหม
  • ขั้นตอนที่ 4 การตรวจวัดสายตาอย่างละเอียด
    • Objective Refraction เป็นการตรวจค่าสายตาเบื้องต้นด้วยระบบคอมพิวเตอร์ (Auto-refractor) หรือ Retinoscope เป็นการประเมินค่าสายตาคร่าว ๆ ยังไม่สามารถนำค่านี้มาใช้ได้จริง
    • Supjective Refraction เป็นการตรวจค่าสายตาอย่างละเอียดด้วยเครื่อง Phoropter ปัจจุบันมีทั้งแบบ Manual และAuto เป็นเครื่องที่สามารถตัววัดค่าสายตาที่ละข้างและร่วมกัน (Binocular Balancing) ทั้งระยะไกลและระยะใกล้ และยังสามารถตรวจผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้อตาได้อีกด้วย
  • ขั้นตอนที่ 5 สรุปผลและประเมินค่าสายตา
  • ขั้นตอนที่ 6 นำค่าสายตาที่จากการตรวจวัดสายตาระบุลงใน ใบค่าสายตาของคนไข้

ใบค่าสายตาประกอบด้วยอะไรบ้าง

เมื่อเราเข้าไปตรวจวัดสายตาไม่ว่าจะเป็นที่ร้านแว่นหรือที่โรงพยาบาล จะได้ใบค่าสายตาที่ระบุข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้จากการตรวจวัดสายตา ซึ่งบางคนอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวย่อเหล่านั้นหมายความว่าอย่างไร และบ่งบอกถึงปัญหาสายตาแบบใด เราจึงรวบรวมข้อมูลที่สำคัญและตัวย่อต่าง ๆ ที่อยู่ในใบค่าสายตาว่าประกอบไปด้วยข้อมูลอะไรบ้าง


ลักษณะค่าสายตาเอียง


ตัวย่อหลัก ๆ บนใบค่าสายตาหมายความว่าอย่างไรบ้าง?

  • R/L (Right eye/ Left eye)หรือ OD (Oculus Dexter)/OS (Ocular Sinister): ค่าสายตาข้างขวา/ตาข้างซ้าย
  • Spherical (SPH): ค่ากำลังของค่าสายตาสามารถดูได้จากเครื่องหมาย สายตาสั้น ( - ) ,สายตายาว ( + )
  • Cylinder (Cyl): ค่าสายตาเอียง (Astigmatism)
  • AXIS: แกนองศาของค่าสายตาเอียง
  • Addition (ADD): ค่าสายตายาวตามอายุ (มักพบในคนที่มีอายุ40ปีขึ้นไป)
  • Pupillary Distance (PD): ระยะห่างระหว่างกึ่งกลางดวงตาของทั้งสองข้าง
    • PDF (Pupillary distance at far) ระยะห่างระหว่างกึ่งกลางดวงตาของทั้งสองข้าง ในขณะที่มองระยะไกล
    • NPD (Pupillary distance at near) ระยะห่างระหว่างกึ่งกลางดวงตาของทั้งสองข้าง ในขณะที่มองระยะใกล้
  • Prism: ค่าปริมาณที่ใส่ปริซึมเข้าไปเพื่อแก้ไขปัญหาสายตาสำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อตา

สัญลักษณ์อื่น ๆ ที่พบได้เพิ่มเติม

  • Vertex Distance (VD): ระยะห่างระหว่างดวงตากับเลนส์แว่นตา
  • Spherical Equivalent (SE): เป็นการคำนวณค่าสายตาโดยมีการชดเชยค่าเอียง
  • Keratometer (K1, K2), Radius (R1,R2): เป็นค่าที่บอกรัศมีความโค้งของกระจกตามีหน่วยวัดเป็น mm หรือ Diopter
  • Vision acuity (VA): ค่าความสามารถในการมองเห็น

ตัวอย่างวิธีการอ่านค่าสายตา


การอ่านค่าสายตา Opticland

จากค่าสายตาข้างบน เราจะเริ่มอ่านจาก

  • R (Right eye) หรือ OD (Oculus Dexter) คือค่าสายตาทางด้านขวาของคนไข้ ซึ่งมีค่า SPH (กำลังสายตา) ที่ -0.50 D หรือค่าสายตาสั้นที่ -0.50 และ CYL (ค่าสายตาเอียง) ที่-0.75D หรือ 75 ใน AXIS (แกนองศา)ที่ 109 จะเขียนเป็น R:-0.50-0.75x109
  • ส่วน L (Left eye) หรือ OS (Ocular Sinister) ก็คือค่าสายตาทางด้านซ้าย มีค่า SPH (กำลังสายตา) ที่ -0.75 D หรือค่าสายตาสั้นที่ -75และ CYL (ค่าสายตาเอียง) ที่ -0.75D หรือ 75 ใน AXIS (แกนองศา)ที่ 71 จะเขียนเป็น L: -0.75 - 0.75 x 71
  • ค่าถัดมาจะเป็นค่า ADD ก็คือค่าสายตายาวตามอายุ คนไข้คนนี้มีค่าสายตายาวตามอายุอยู่ที่ +1.75 D หมายเหตุค่าสายตายาวขึ้นอยู่กับระยะการใช้งานของลูกค้า
  • สุดท้ายค่า VA คือค่าความสามารถในการมองเห็นเมื่อเทียบกับคนปกติ ซึ่งคนไข้คนนี้ถ้าได้รับการแก้ไขจะสามารถมองเห็นได้เทียบเท่ากับคนปกตินั่นเอง (VA20/20)

สรุปแบบเข้าใจง่าย!!

คนไข้คนนี้มีค่าสายตาทางด้านขวา (R: -0.50 - 0.75 x 109 ) สั้นที่ -0.50 D มีเอียง -0.75 D ในแกนองศาที่ 109 และมีค่าสายตาทางด้านซ้าย (L: -0.75 - 0.75 x 71 ) สั้นที่ -0.75 D มีเอียง -0.75 D ในแกนองศาที่ 71 และยังมีค่าสายตาอ่านหนังสืออยู่ที่ +1.75 D เมื่อได้รับการแก้ไขค่าสายตาแล้วความสามารถในการมองเห็นเทียบเท่ากับคนที่มีค่าสายตาปกติ (VA 20/20)

การจำแนกความสัมพันธ์ของค่าสายตา

Simple Myopia (สายตาสั้นแบบธรรมดา)

หมายถึงค่าสายตาสั้นอย่างเดียว ไม่มีเอียงร่วมด้วย

  • ค่าสายตา SPH จะเป็นค่าลบ(-), CLY เป็นศูนย์หรือไม่มี
  • ตัวอย่าง -2.00 แสดงว่าคนไข้คนนี้มีค่าสายตาสั้นที่ 200 หรือ -2D

Simple Hyperopia (สายตายาวแบบธรรมดา)

หมายถึงค่าสายตายาวอย่างเดียว ไม่มีเอียงร่วมด้วย

  • ค่าสายตา SPH จะเป็นค่าบวก(+), CLY เป็นศูนย์หรือไม่มี
  • ตัวอย่าง +3.00 แสดงว่าคนไข้คนนี้มีค่าสายตายาวที่ 300 หรือ +3D
  • Simple Myopic Astigmatism (สายตาธรรมดาร่วมกับสายตาเอียง)

    หมายถึงค่าสายตาปกติ ที่มีแต่ค่าเอียง

    • ค่าสายตา SPH จะเป็นศูนย์หรือไม่มีค่าสายตา, CLY จะเป็นค่าลบ(-)
    • ตัวอย่าง 0.00-1.00*180 แสดงว่าคนไข้คนนี้มีค่าสายตาเอียงที่ 100 หรือ -1D อยู่ในแนวองศา 180

    Compound Myopic Astigmatism(สายตาสั้นร่วมกับสายตาเอียง)

    หมายถึงค่าสายตาสั้นร่วมกับการมีค่าสายตาเอียง

    • ค่าสายตา SPH จะเป็นค่าลบ(-), CLY เป็นค่าลบ(-)
    • ตัวอย่าง -2.00-1.00*180 แสดงว่าคนไข้คนนี้มีค่าสายตาสั้นที่ 200 หรือ -2D ร่วมกับการมีเอียงที่ 100 หรือ -1D ในแนวองศา 180

    Mixed Astigmatism(สายตายาวร่วมกับสายตาเอียง)

    หมายถึงค่าสายตายาวร่วมกับการมีค่าสายตาเอียง

    • ค่าสายตา SPH จะเป็นค่าบวก(+), CLY เป็นค่าลบ(-)
    • ตัวอย่าง +2.00 - 1.00*180 แสดงว่าคนไข้คนนี้มีค่าสายตายาวที่ 200 หรือ +2D ร่วมกับการมีเอียงที่ 100 หรือ -1D ในแนวองศา 180

    ใบค่าสายตาตัดแว่นกับใบค่าสายตาสำหรับคอนแทคเลนส์ เหมือนหรือต่างกันไหม

    หลาย ๆ คนมักเข้าใจว่า “ใบค่าสายตา” สามารถใช้ได้ทั้งแว่นและคอนแทคเลนส์เหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้ว “ใบค่าสายตาตัดแว่นกับคอนแทคเลนส์”นั้น ต่างกัน

    ทำไมค่าสายตาตัดแว่นกับค่าสายตาสำหรับคอนแทคเลนส์ถึงต่างกัน

    ตำแหน่งของเลนส์

    • ใบค่าสายตาตัดแว่น ตำแหน่งของเลนส์จะอยู่ห่างกระจกตาประมาณ 12 mm จึงทำให้ได้ค่าเลนส์ SPH/CYL มีค่ามากกว่า
    • ใบค่าสายตาสำหรับคอนแทคเลนส์ สัมผัสที่ผิวกระจกตาโดยตรง จึงทำให้ได้ค่าเลนส์ SPH/CYL มีค่าน้อยกว่าเล็กน้อย

    จะเห็นได้ว่า ค่าสายตาในการตัดแว่นสายตากับค่าสายตาคอนแทคเลนส์จะแตกต่างกันในเรื่องของการคำนวณค่าสายตาที่เหมาะสมกับบุคคลนั้น ๆ จึงแนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสายตาเป็นคนคำนวณและประเมินค่าสายตาสำหรับคอนแทคเลนส์ เพื่อให้ได้ค่าสายตาที่เหมาะสมกับบุคคลนั้น ๆ ได้มากที่สุด

    การวัดค่า BASE CURVE (ความโค้งกระจกตา)

    • ใบค่าสายตาตัดแว่น ไม่จำเป็นต้องวัดค่า BASE CURVE
    • ใบค่าสายตาสำหรับคอนแทคเลนส์ จำเป็นต้องวัด เพื่อให้พอดีกับกระจกตา

    ดังนั้น การวัดค่าความโค้งกระจกตา(Base curve) จึงมีความสำคัญสำหรับคนที่ต้องการใส่คอนแทคเลนส์ เนื่องจากถ้าใส่คอนแทคเลนส์ที่ไม่พอดีกับความโค้งจะทำให้คอนแทคเลนส์เคลื่อนที่ไม่อยู่ในตำแหน่ง หรือ คับแน่น จนไม่สบายตา

    มีกรณีไหนไหมที่ค่าสายตาสำหรับตัดแว่นตากับคอนแทคเลนส์เป็นค่าเดียวกันได้

    มี ในกรณีที่ค่าสายตา SPH ไม่เกินหรือเท่ากับ +,- 3.75 D จึงจะใช้ค่าสายตาสำหรับตัดแว่นสายตากับค่าสายตาสำหรับคอนแทคเลนส์เป็นค่าเดียวกันได้

    บทความโดย
    ณัฎฐนันท์ สกุลชัยวัฒนา
    นักทัศนมาตร ทม.562/2566

    บล็อคที่เพิ่งดูไป

    บล็อคล่าสุด

    ดูเพิ่มเติม

    ติดต่อสอบถาม

    02-259-9158